ข่าวการศึกษา

มติ ครม. ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง คือ มาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการ และเห็นชอบแต่งตั้งศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ เป็นผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)

มติ ครม. ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ติดตามข่าวอื่น ๆ ได้ที่เพจ : https://www.facebook.com/rukkroo

  • เห็นชอบหลักเกณฑ์มาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการ

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ หลักเกณฑ์การดำเนินการเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีนโยบายสำคัญและเร่งด่วนในการป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบเพื่อปฏิรูประบบการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นที่เชื่อมั่นและไว้วางใจของประชาชน ดังนี้

     ข้อ 1 ในกรณีที่มีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบของข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้ส่วนราชการต้นสังกัดดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน แล้วรายงานผลการพิจารณาต่อหัวหน้าส่วนราชการและรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อรับทราบทันที และให้พิจารณาดำเนินการทางวินัยหรือทางอาญาโดยเร็วซึ่งจะต้องให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ในระหว่างนี้ให้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการต่อหัวหน้าส่วนราชการหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด เพื่อทราบเป็นระยะตามความเหมาะสม

     กรณีที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่ามีเหตุน่าเชื่อถือ และเป็นกรณีที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ราชการหรือทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชน แม้ผลการตรวจสอบยังไม่อาจสรุปความผิดได้ชัดเจนถึงขั้นชี้มูลความผิด ให้พิจารณาปรับย้ายข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ไปดำรงตำแหน่งอื่นเป็นการชั่วคราว เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบและป้องกันการกระทำที่อาจมีผลต่อการตรวจสอบโดยเร็ว และในกรณีที่เป็นเรื่องร้ายแรงหรือมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและไว้วางใจของประชาชน ให้เสนอให้มีการย้ายหรือโอนไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในอัตรากำลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษในสำนักนายกรัฐมนตรี และดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดขึ้นตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2558 เรื่อง มาตรการแก้ปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบ และการกำหนดกรอบอัตรากำลังชั่วคราว ลงวันที่ 15 พฤษภาคม พุทธศักราช 2558 หรือคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 68/2559 เรื่องมาตรการแก้ปัญหาเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานอื่นของรัฐและการกำหนดกรอบอัตรากำลังชั่วคราวลงวันที่ 16 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2559 แล้วแต่กรณี

     ข้อ 2 ในกรณีที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่ามีหลักฐานควรเชื่อได้ว่าสามารถสรุปความผิดได้ชัดเจนถึงขั้นชี้มูลความผิด ให้ส่วนราชการต้นสังกัดดำเนินการทางวินัยต่อข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาดโดยเร็ว และให้รายงานหัวหน้าส่วนราชการและรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อทราบความคืบหน้าและเร่งรัดการดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ อาจพิจารณาให้ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นออกจากราชการไว้ก่อนหรือออกจากตำแหน่งก็ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม และในกรณีที่พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทางอาญาด้วย ให้ส่งเรื่องให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบเพื่อพิจารณาดำเนินคดีโดยทันที

     กระบวนการพิจารณาดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ และระเบียบที่เกี่ยวข้องตามปกติ แต่ให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วโดยพิจารณาจัดลำดับตามความสำคัญ ความสนใจของประชาชน และมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น

     ในกรณีที่เป็นการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง แต่ไม่ถึงขั้นให้ปลดออกจากราชการหรือไล่ออกจากราชการ ให้ส่วนราชการต้นสังกัดดำเนินการปรับย้ายจากตำแหน่งเดิม และห้ามปรับย้ายกลับไปดำรงตำแหน่งหน้าที่ในลักษณะเดิม หรือแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นภายในเวลา 3 ปี นับแต่วันที่มีการลงโทษทางวินัย

     ข้อ 3 การปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ทำให้การปฏิบัติราชการเกิดความล่าช้าหรือไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ หรือทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชน ให้ถือเป็นกรณีที่ต้องพิจารณาให้มีการย้ายหรือโอนไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอื่นตามข้อ 1 วรรคสองด้วย

     ข้อ 4 ให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดให้มีมาตรการคุ้มครองพยาน หรือผู้ให้ข้อมูลหรือเบาะแสในการตรวจสอบอย่างเหมาะสม เพื่อให้การได้รับข้อมูลและหลักฐานในการดำเนินการต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการทุจริตและประพฤติมิชอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในกรณีที่ตรวจสอบพบว่ามีการจงใจให้ข้อมูลเพื่อใส่ร้ายหรือบิดเบือนข้อมูลเพื่อให้มีการดำเนินการ ที่เป็นผลร้ายต่อบุคคลอื่น ให้พิจารณาดำเนินการลงโทษบุคคลดังกล่าวอย่างเด็ดขาดด้วย

ข้อ 5 ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ยึดถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์นี้โดยเคร่งครัดตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

นพ.ธีระเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเด็นดังกล่าวมีหลักการสำคัญ คือ 1) ให้สอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นให้เสร็จโดยไวภายในเวลา 7 วัน ในกรณีวินัยอาญา ให้สอบข้อเท็จจริงให้เสร็จภายในเวลาไม่เกิน 30 วัน 2) กรณีบุคคลที่เกี่ยวข้อง แต่มูลแต่ยังไม่ชัดเจน ให้ย้ายออกจากหน่วยงานเดิม ไปอยู่หน่วยงานอื่นในกระทรวงเดียวกันก่อน

ส่วนกรณีที่จะทำให้เกิดผลเสียต่อราชการ หรือเป็นกรณีที่สำคัญ ให้ย้ายไปที่สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แจ้งว่าสามารถย้ายข้าราชการระดับซี 9-11 ไปที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้ โดยเตรียมตำแหน่งรองรับกว่า 100 ตำแหน่ง จากนั้นให้เร่งดำเนินการสอบข้อเท็จจริงอย่างรวดเร็ว ขณะที่กรณีบุคคลที่เกี่ยวข้อง หากผิดวินัยร้ายแรงแต่โทษไม่ถึงขั้นปลดออกหรือไล่ออก ห้ามกลับไปดำรงตำแหน่งเดิม ภายในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งทุกขั้นตอนเน้นย้ำว่าต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว มีการรายงานหัวหน้าส่วนราชการและรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงเป็นระยะ ส่วนกรณีที่ไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ให้ส่วนราชการสอบถามไปที่ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) กระทรวงยุติธรรม รวมถึงกรณีข้าราชการเกียร์ว่าง หรือผู้ที่ปฏิบัติงานไม่มีประสิทธิภาพ สามารถใช้มาตรการเดียวกันได้ทันที

ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ เนื่องจากเป็นกระทรวงที่มีขนาดใหญ่ และมีการบริหารหลายแท่ง วันนี้จึงมีการซักซ้อมทำความเข้าใจให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวอย่างเคร่งครัด แต่ปัจจุบันมักจะมีข่าวว่ารัฐบาลชุดนี้มีการทุจริตคอร์รัปชันมาก ซึ่งความจริงแล้วการทุจริตมีมานาน แต่สามารถตรวจสอบติดตามผลได้ในรัฐบาลชุดนี้ และเป็นการตรวจสอบโดยอาศัยการข่าวที่ดี ประกอบกับความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังในการสะสางปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน รวมทั้งได้สั่งการให้ตรวจสอบเพิ่มเติมปัญหาการทุจริตกรณีการเช่าสัญญาณอินเตอร์เน็ต MoeNet และโครงการศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา (อควาเรียมหอยสังข์) ให้ทำตามมาตรการนี้เช่นกัน

  • ความคืบหน้ากรณีทุจริตอควาเรียมหอยสังข์ นพ.ธีระเกียรติ กล่าวว่า คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงได้เข้าไปในพื้นที่จังหวัดสงขลาทุกคนแล้ว ซึ่งมาตรการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตนี้จะเข้ามากระชับเรื่องเวลาในการทำงานให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้สั่งย้ายออกจากหน้าที่แล้ว สำหรับผู้ที่เกษียณไปแล้วก็ยังต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป เนื่องจากคดีอาญามีอายุความอยู่

  • การทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต ขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการลงโทษทางวินัยโดยไล่ออกนางรจนา สินที ตามข่าวที่นำเสนอไป ส่วนด้านสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้ดำเนินการทางอาญาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ก็ได้ดำเนินการสืบสวนด้านเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทันที

นพ.ธีระเกียรติ เน้นย้ำอีกว่า “ไม่ใช่รัฐบาลนี้ที่ทุจริตมาก แต่เป็นเพราะรัฐบาลชุดนี้มีการขุดคุ้ยตรวจสอบเอาจริงเอาจัง  ดำเนินการอย่างรวดเร็ว และเป็นกรณีที่ประชาชนให้ความสนใจ ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับว่า ขอให้คุ้มครองพยาน หรือประชาชนที่มาให้ข่าว จนทำให้สามารถตรวจสอบกรณีทุจริตจนสำเร็จทุกเรื่องด้วย จึงขอให้มั่นใจว่ากระทรวงศึกษาธิการทำงานอย่างโปร่งใส ไม่มีมวยล้มแน่นอน”

แต่งตั้งผู้อำนวยการ สสวท.

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้ง ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ เป็นผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) (ตามมติคณะกรรมการ สสวท. ครั้งที่ 515/3/2561 เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2561) ตามความในมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. 2541

โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่กำหนดในสัญญาจ้าง แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ลาออกจากการเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย

มติ ครม. ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ

Back to top button