ข่าวการศึกษา

นายก เป็นประธาน ประชุม”การลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้”

ผลประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา

ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา เมื่อวันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2558 ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า

ติดตามข่าวอื่น ๆ ได้ที่เพจ : https://www.facebook.com/rukkroo

ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม รองศาสตราจารย์นายแพทย์กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และนายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ร่วมกันแถลงผลการประชุม ดังนี้

รศ.นพ.กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีการหารือเรื่องการแข่งขันด้านการศึกษา โดยนำวิธีการจากหลายประเทศที่มีระดับดีกว่าประเทศไทยมาเปรียบเทียบ เพื่อใช้เป็นตัวขับเคลื่อน โดยเน้นในด้านของการสื่อสารภาษาอังกฤษ การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม คณิตศาสตร์ ซึ่งต้องพัฒนาทั้งระบบตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษา เป็นต้นไป เพราะที่ผ่านมาพบว่าระดับการศึกษาของประเทศไทย ยังไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าที่ควร ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเน้นย้ำในที่ประชุมว่า ขอให้มีการเร่งพัฒนาระบบการศึกษาเพื่อส่งต่อให้กับรัฐบาลใหม่ อีกทั้งเรื่องใดที่สามารถดำเนินการได้ก็ขอให้จัดทำไปก่อน

ส่วนกรณี “การลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 2 พฤศจิกายนนี้ โดยมี 4,100 โรงเรียนพร้อมดำเนินการ โดยช่วงเริ่มนี้จะเน้นกิจกรรมเสริมสร้างสมอง (Head) คุณธรรม จริยธรรม (Heart) ทักษะ (Hand) รวมทั้งสุขภาพ (Health) ซึ่งสาระความรู้ไม่ได้ด้อยไปจากเดิม แต่นักเรียนจะมีความสุขมากขึ้น มีเวลาคิด วิเคราะห์ ฝึกทักษะ รู้จักการถกแถลง การเขียนเรียงความมากขึ้น โดยมีกระทรวงที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานภาคเอกชน เข้ามาร่วมด้วย

อย่างไรก็ตาม หลังจากเริ่มปรับลดเวลาเรียนแล้ว จะมีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการกำกับตรวจสอบในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังการดำเนินโครงการ ซึ่งจะมีคณะทำงานที่เรียกว่า Smart Trainer ประมาณ 300 คณะ ลงไปในพื้นที่ต่างๆ เพื่อติดตามประเมินผล และในปีการศึกษา 2559 โรงเรียนในประเทศไทยจะดำเนินการเช่นเดียวกันทุกแห่ง

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบว่า ระบบการศึกษาจะต้องมีการปรับปรุงหลายเรื่อง อาทิ หน่วยงานด้านการประเมินสถานศึกษา คือ สำนักรับรองมาตรฐานและคุณภาพการศึกษาฯ (สมศ.) จะต้องมีการปฏิรูปในการทดสอบนักเรียนนักศึกษา ด้วยการเพิ่มข้อสอบอัตนัยให้มากขึ้น อีกทั้งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้สำนักงานสถิติแห่งชาติ เร่งสำรวจความต้องการด้านแรงงาน เพื่อจะได้พัฒนาแรงงานตรงกับความต้องการของตลาด โดยกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และภาคเอกชน จะมีการหารือในเรื่องดังกล่าวต่อไป ส่วนตลาดแรงงานอาชีวะศึกษานั้น นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กรมฝีมือแรงงานเร่งศึกษาถึงการปรับเพิ่มค่าแรงให้กับฝีมือแรงงานด้วย

ปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการได้ปรับภาพลักษณ์ เรื่องของบุคลากรอย่างชัดเจน โดย พลเอกดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา ได้ให้นโยบายชัดเจนว่า การพัฒนาคนจะต้องไม่มีปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ส่วนการก้าวสู่วิทยฐานะต่างๆ ของครู กำลังเร่งให้มีการปรับปรุง อีกทั้งผลงานของครูจะต้องขึ้นอยู่กับผลงานของเด็กซึ่งจะเป็นตัวชี้วัด ถ้าเด็กมีคุณภาพดี ครูถึงจะได้ดีด้วย

นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้แถลงว่า ที่ประชุมได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ดำรงตำแหน่งรองประธานฯ หลังจากที่มีการปรับคณะรัฐมนตรี โดยแต่งตั้งให้พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี แทนนายยงยุทธ ยุทธวงศ์ และพลเรือเอกณรงค์ พิพัฒนาศัย อดีตรองนายกรัฐมนตรี

สำหรับความก้าวหน้าในเรื่องของการพัฒนาศักยภาพนักศึกษาอาชีวะที่มีความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชนนั้น จะมีการจัดการเรียนเพื่อปรับปรุงเฉพาะด้านตามความต้องการของภาคเอกชน เพื่อรองรับยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศ รวม 7 สาขา ได้แก่ 1) พาณิชย์นาวี 2) การขนส่งระบบราง 3) ปิโตรเคมี 4) การผลิตไฟฟ้า 5) การท่องเที่ยว 6) เทคโนโลยีอาหารปลอดภัย 7) อุตสาหกรรมแม่พิมพ์

ส่วนการพัฒนาระบบการศึกษาเพื่อเป็นศูนย์กลางการศึกษาในภูมิภาคนั้น ที่ประชุมมีความเห็นว่า ประเทศในอาเซียนต้องการให้มีการฝึกบุคลากรที่ขาดแคลนในอีกหลายสาขา และประเทศไทยมีศักยภาพที่จะถ่ายทอดความรู้ อาทิ กำลังคนด้านการบริหาร ด้านบัญชี ด้านวิศวกร โดยยกตัวอย่าง ประเทศสิงคโปร์ที่นำบุคลากรจากต่างประเทศเข้ามาทำหน้าที่ครู จึงทำให้มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดด ซึ่งต่อไปประเทศไทยคงต้องเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติได้เข้ามาพัฒนาบุคลากรในประเทศด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ในส่วนของการสร้างคนให้ตรงกับความต้องการนั้น ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเก็บรวบรวมข้อมูลและจำนวนคนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมแรงงาน สำนักงานสถิติแห่งชาติ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องต่างๆ เพื่อให้กระทรวงศึกษาธิการนำไปใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาวางแผนเพื่อเตรียมกำลังคนต่อไป

ที่มา : ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ

เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ

Back to top button