เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ

การพัฒนารูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานเพื่อการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ โรงเรียนบ้านบาโงย อำเภอรามัน จังหวัดยะลา

ชื่องานวิจัย        การพัฒนารูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานเพื่อการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้  โรงเรียนบ้านบาโงย อำเภอรามัน จังหวัดยะลา

ชื่อผู้วิจัย           นางรัตนา  ดำทองเสน

ติดตามข่าวอื่น ๆ ได้ที่เพจ : https://www.facebook.com/rukkroo

ปีที่รายงาน         2562

 บทคัดย่อ

            การพัฒนารูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน เพื่อการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้โรงเรียนบ้านบาโงย อำเภอรามัน จังหวัดยะลา เป็นการรวบรวมข้อมูลเพื่อตอบคำถามนั้นใช้วิธีการเก็บข้อมูลจากหลายแหล่งข้อมูลและหลายวิธีการ เพื่อตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของข้อมูล โดยเก็บรวบรวมทั้งในเชิงปริมาณ (Quantitative Data) และข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data) ผลผลิตที่ได้จากการศึกษาในครั้งนี้  คือ รูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน เพื่อการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ โรงเรียนบ้านบาโงย อำเภอรามัน จังหวัดยะลา มีวัตถุประสงค์ดังนี้  1. เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาความต้องการในการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้
2. เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน เพื่อการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้  และ 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับรูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานเพื่อการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้

วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยมีการดำเนินการวิจัย 3 ขั้นตอน คือ 1. ผลการศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาความต้องการในการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้  2. ผลการพัฒนารูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน เพื่อการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และ3. ผลการศึกษาความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับรูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานเพื่อการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้  เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบบันทึกการประชุมสนทนากลุ่ม และแบบสอบถาม  สถิติที่ใช้ในการศึกษา คือ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)

            ผลการศึกษาพบว่า

  1. สภาพปัจจุบันและปัญหาความต้องการในการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ โรงเรียนบ้านบาโงย อำเภอรามัน จังหวัดยะลา พบว่า มีปัญหาทางด้านสภาพแวดล้อมทั้งปัญหาสภาพแวดล้อมภายในห้องเรียน สภาพแวดล้อมภายนอกห้องเรียนและสภาพแวดล้อมทางวิชาการ  ดังนี้

1.1 สภาพแวดล้อมในห้องเรียน  พบว่า  1.ขาดสื่อและอุปกรณ์ในการสอนประจำห้องเรียน 2. ระบบเสียงในห้องเรียนบางห้องใช้งานไม่ได้ 3. โต๊ะเก้าอี้ชำรุดไม่พอต่อการจัดที่นั่งให้กับนักเรียน 4. ภายในห้องเรียนบางห้องไม่มีบอร์ดสำหรับจัดป้ายนิเทศความรู้ 5. มุมหนังสือในห้องเรียนขาดหนังสือที่น่าสนใจและบางห้องไม่มีมุมหนังสือให้ศึกษาค้นคว้า 6. พื้นในห้องเรียนบางห้องเป็นพื้นปูนการทำความสะอาดห้องเรียนมีฝุ่นปูนหลุดออกมาจำนวนมาก 7. สีผนังโดยรอบห้องเรียนเก่าดูสกปรก 8. แสงสว่างภายในห้องเรียนบางห้องไม่เพียงพอ 9.กระดานดำเขียนด้วยชอล์กมีปัญหาเรื่องฝุ่นชอล์กมีผลต่อสุขภาพของครูและนักเรียน

1.2 สภาพแวดล้อมภายนอกห้องเรียน พบว่า 1.สีอาคารเรียนดูเก่าลอกหลุดไม่สวยงาม 2.ภูมิทัศน์บริเวณโรงเรียนบางจุดต้องปรับปรุงและจัดให้เป็นแหล่งเรียนรู้ 3. ลานเกมสร้างสรรค์สีดูเก่าลอกหลุดไม่สวยงาม 4) สนามเด็กเล่น เครื่องเล่นบางชิ้นเริ่มผุพัง สีดูเก่าลอกหลุดไม่สวยงาม 5. โรงอาหารที่นั่งไม่เพียงพอขาดการจัดระบบดูแลภาชนะใส่อาหาร 6. สวนเกษตรมีหญ้ารกและเป็นที่ลุ่ม มีน้ำท่วมขัง 7. สวนสมุนไพรมีหญ้ารกและเป็นที่ลุ่ม มีน้ำท่วมขัง 8. ห้องสำนักงาน ไม่เป็นสัดส่วน 9. ไม่มีห้องประชุม และ10. ห้องน้ำ –  ห้องส้วม ประตูเริ่มชำรุด ผู้ดูแลความสะอาดทำความสะอาดไม่สม่ำเสมอ แสงสว่างไม่เพียงพอ

1.3 สภาพแวดล้อมทางวิชาการ พบว่า 1.ห้องสื่อการเรียนการสอน ขาดอุปกรณ์ที่เอื้อต่อการใช้สื่อที่ทันสมัยและมีอุปกรณ์ไม่เพียงพอต่อการเรียนการสอน 2. ห้องเรียนคอมพิวเตอร์ มีคอมพิวเตอร์ไม่เพียงพอต่อจำนวนนักเรียนและสภาพเครื่องล้าสมัย 3.ห้องสมุดขาดสิ่งจูงใจให้นักเรียนเข้าใช้บริการ  4. ห้องพยาบาลไม่เป็นสัดส่วน แสงสว่างไม่เพียงพอและ 5.ห้องวิชาการ ไม่เป็นสัดส่วน ตู้จัดเก็บเอกสารวิชาการไม่เพียงพอ

  1. การพัฒนารูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน เพื่อการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ โรงเรียนบ้านบาโงย พบว่า ได้กระบวนการการบริหารจัดการสภาพแวดล้อมโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน  พบหลักการสำคัญคือ  การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stake holder)  ได้แก่ ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมตัดสินใจและร่วมดำเนินการ ทำให้มีความรู้สึกเป็นเจ้าของโรงเรียน     มี  5  ขั้นตอนสำคัญ คือ 1) การสร้างความตระหนักให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับรู้สภาพปัญหาและความจำเป็น ร่วมกันวางแผน ร่วมตัดสินใจ ร่วมกันดำเนินการ ตามรูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานเพื่อการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ 2) การระดมทรัพยากรเพื่อการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ 3)การดำเนินการตามแผน / โครงการ/ กิจกรรม 4) การกำกับ ติดตาม และ 5) การสรุปรายงานผล ผลที่ได้รับจากการใช้รูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานเพื่อการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้  พบว่า  ประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ
  2. การศึกษาความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับรูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานเพื่อการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 4.84 ผู้ปกครองนักเรียนมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 4.86  ครูและบุคลากรทางการศึกษามีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 4.87 และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 4.80 และความพึงพอใจโดยภาพรวมของทั้งนักเรียน ผู้ปกครองนักเรียน ครู และคณะกรรมการสถานศึกษา
    ขั้นพื้นฐาน  พบว่า  อยู่ในระดับมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 4.84  เมื่อพิจารณาระดับความพึงพอใจเป็นรายด้าน ทุกด้านมีระดับความพึงพอใจมากที่สุดเช่นกัน  เรียงลำดับตาม  ค่าเฉลี่ยได้ดังนี้  การจัดสภาพแวดล้อมภายนอกห้องเรียน คะแนนเฉลี่ย 4.86 การจัดสภาพแวดล้อมภายในห้องเรียน คะแนนเฉลี่ย 4.83)  และการจัดสภาพแวดล้อมทางวิชาการ  คะแนนเฉลี่ย 4.83

เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ

Back to top button