ข่าวการศึกษา

ผลการประชุม ก.ค.ศ. 12/2559 (เกณฑ์ย้าย อัตราว่างและอื่นๆ)

ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี 514/2559
ผลการประชุม ก.ค.ศ. 12/2559

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 12/2559 เมื่อวันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม 2559  ว่าที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่สำคัญ ดังนี้

ติดตามข่าวอื่น ๆ ได้ที่เพจ : https://www.facebook.com/rukkroo

img_2088

● อนุมัติให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งข้าราชการครู สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (หลักเกณฑ์ ว 16/2558)

ที่ประชุมได้อนุมัติให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งข้าราชการครู สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (หลักเกณฑ์ ว 16/2558) เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทการบริหารงานบุคคลของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) รวมทั้งเพื่อให้มีครูไปปฏิบัติการสอนได้ทันก่อนเปิดภาคเรียน และสามารถนำตำแหน่งว่างภายหลังการย้าย เพื่อใช้บรรจุและแต่งตั้งผู้สอบแข่งขันได้ และผู้ได้รับคัดเลือกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนเพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สามารถกำกับดูแลการดำเนินการเชิงนโยบายได้อย่างเหมาะสม และทำให้การดำเนินการมีความยืดหยุ่นและคล่องตัว กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้

1) คุณสมบัติของผู้ขอย้ายกรณีปกติ ได้ปฏิบัติงานในตำแหน่งครูของสถานศึกษาปัจจุบันติดต่อกันมาแล้วไม่น้อยกว่า 24 เดือน นับถึงวันสุดท้ายที่กำหนดให้ยื่นคำร้องขอย้าย

2) ระยะเวลาการยื่นคำร้องขอย้าย กำหนดให้ยื่นคำร้องขอย้ายตามแบบคำร้องขอย้ายที่ ก.ค.ศ. กำหนด ได้ปีละ 1 ครั้ง ในเดือนมกราคมของทุกปี เป็นเวลา 15 วันทำการ ตามปฏิทินที่ สพฐ. กำหนด โดยยื่นคำร้องขอย้ายได้เพียงเขตพื้นที่การศึกษาเดียว

3) ระยะเวลาการพิจารณาย้าย คำร้องขอย้ายให้ใช้สำหรับการพิจารณาย้ายได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ของปีเดียวกัน โดยให้พิจารณาย้ายได้ปีละสองรอบ รอบที่ 1 ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 15 มีนาคม และรอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 15 กันยายน – 15 ตุลาคม ตามปฏิทินที่ สพฐ. กำหนด ทั้งนี้ในแต่ละรอบการย้ายอาจกำหนดให้มีการพิจารณาย้ายมากกว่าหนึ่งครั้งก็ได้

4) การกำหนดองค์ประกอบในการย้าย ให้คงองค์ประกอบหลักไว้ และให้ สพฐ. กำหนดรายละเอียดตัวชี้วัดและองค์ประกอบเพิ่มเติมตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด เพื่อให้ กศจ. อกศจ. หรือคณะกรรมการกลั่นกรองการย้าย แล้วแต่กรณี สามารถนำไปใช้ในการพิจารณาการย้ายได้อย่างชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน ทั้งนี้ ให้มีการพิจารณาการย้ายพร้อมกันทุกเขตพื้นที่การศึกษาในภาพรวมของจังหวัด

5) การกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติม สำหรับกรณีการย้ายเพื่อเกลี่ยอัตรากำลัง กรณีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา หรือสำนักงานบริหารการศึกษาพิเศษ หรือ กศจ. พิจารณาเห็นว่าสถานศึกษาใด มีอัตรากำลังเกินกรอบอัตรากำลังที่ ก.ค.ศ. กำหนด และเป็นตำแหน่งที่มีคนครอง ให้เสนอ อกศจ. กศจ. พิจารณาการย้ายโดยตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือน ให้เป็นไปตามกรอบอัตรากำลังที่ ก.ค.ศ. กำหนด ทั้งนี้ให้นำนโยบายและเงื่อนไขของ สพฐ. ที่ผ่านความเห็นชอบจาก ก.ค.ศ. แล้ว มาประกอบการพิจารณาด้วย สำหรับการย้ายเพื่อความเหมาะสมและประโยชน์ของทางราชการ ให้อยู่ในดุลยพินิจของ อกศจ. ที่จะพิจารณานำเสนอ กศจ. พิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยอาจพิจารณาจากคำร้องขอย้ายหรือไม่ก็ได้

6) การกำหนดระยะเวลาการส่งคำร้องขอย้ายไปต่างเขตพื้นที่การศึกษา ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาของผู้ประสงค์ขอย้าย ส่งคำร้องขอย้ายไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่รับย้าย เพื่อพิจารณาดำเนินการ โดยต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่วันที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้รับคำร้องขอย้าย ทั้งนี้ กรณีมีเหตุผลความจำเป็นเพื่อประสิทธิภาพในการบริหารงานบุคคล สพฐ. อาจกำหนดระยะเวลาดำเนินการดังกล่าวต่างไปจากที่ ก.ค.ศ. กำหนดได้ โดยต้องไม่เกินกรอบระยะเวลาที่ ก.ค.ศ. กำหนด

7) เงื่อนไขการส่งสำเนาคำสั่งย้าย เมื่อ กศจ. พิจารณาและมีมติอนุมัติแล้ว ให้ผู้มีอำนาจออกคำสั่งบรรจุและแต่งตั้งตามมาตรา 53 ออกคำสั่งบรรจุและแต่งตั้ง และแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ รวมทั้งส่งสำเนาคำสั่ง จำนวนอย่างละ 1 ชุด ให้สำนักงาน ก.ค.ศ. และ สพฐ. ภายใน 7 วัน นับแต่วันออกคำสั่ง

อนุมัติให้แก้ไขจำนวนอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา  เมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในภาพรวมจากจำนวน  18,332 อัตรา เป็นจำนวน 18,331 อัตรา เนื่องจากมีการรายงานซ้ำซ้อนระหว่างสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 11


● อนุมัติตั้งอนุกรรมการใน อ.ก.ค.ศ. วิสามัญ

  • อนุมัติตั้ง นายชาญเวช บุญประเดิม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการบริหารองค์กร ใน ก.ค.ศ. เป็นอนุกรรมการใน อ.ก.ค.ศ. วิสามัญ ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง จำนวน 3 คณะ ได้แก่
    1) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการพัฒนานโยบายและระบบบริหารงานบุคคล
    2) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
    3) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการร้องทุกข์ และการร้องเรียนขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา

  • อนุมัติตั้ง นายเจริญ แจ่มใส ผู้อำนวยการสถานศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดสมุทรสาคร เป็นอนุกรรมการผู้แทนผู้บริหารสถานศึกษา ใน อ.ก.ค.ศ. สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ


รับทราบเรื่องการยกเว้นเงื่อนไขการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา  โดยฝ่ายเลขานุการร่วม คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ได้แจ้งมติคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ที่ได้มีมติเห็นชอบยกเว้นเงื่อนไขการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เฉพาะปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ให้จัดสรรคืนอัตราว่างคืนให้กับโรงเรียนประถมศึกษาขยายโอกาสที่มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 120 คนขึ้นไป ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ปกติ แต่ประสบปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังครู จำนวน 922 แห่ง โดยให้จัดสรรอัตรากำลังครูให้ไม่มากกว่าอัตรากำลังครูตามเกณฑ์ที่ ก.ค.ศ. กำหนด จำนวนรวมทั้งสิ้น 1,085 อัตรา


รับทราบการรายงานผลการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี พ.ศ. 2559 โดยสรุป คือ มีตำแหน่งว่างรวมทั้งสิ้น 2,883 อัตรา โดยมีผู้เข้ารับการคัดเลือก จำนวน 9,279 ราย ผ่านการคัดเลือก 7,889 ราย คิดเป็นร้อยละ 85.02 แยกตามสังกัด ดังนี้

1) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา

     – ตำแหน่งว่าง จำนวน 2,877 อัตรา

    – ผู้เข้ารับการคัดเลือก จำนวน 9,184 คน

    – ผู้ได้รับการคัดเลือก จำนวน 7,816 คน

2) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา

     – ตำแหน่งว่าง จำนวน 6 อัตรา

    – ผู้เข้ารับการคัดเลือก จำนวน 95 คน

    – ผู้ได้รับการคัดเลือก จำนวน 73 คน

ดรุวรรณ บุญมาก, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงาน ก.ค.ศ.: ถ่ายภาพ-ข้อมูล
20/12/2559

ที่มา : ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ

เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ

Back to top button