ข่าวการศึกษา

ร่างกฎกระทรวงตั้ง-ยุบ-รวม-เลิกสถานศึกษา จบที่จังหวัด

ร่างกฎกระทรวงตั้ง-ยุบ-รวม-เลิกสถานศึกษา จบที่จังหวัด

นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2566 ที่ประชุม ครม.ได้อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงจัดตั้ง ยุบ รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ

โดยยกเลิกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดตั้ง รวม หรือ เลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2550 และกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดตั้ง ยุบ รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐานขึ้นใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 19/2560 เรื่องการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ ที่กำหนดให้อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดแทน

ติดตามข่าวอื่น ๆ ได้ที่เพจ : https://www.facebook.com/rukkroo

“ร่างกฎกระทรวงจัดตั้ง ยุบ รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่ร่างขึ้นใหม่ฉบับนี้ หากพื้นที่และชุมชนมีความเห็นและข้อตกลงร่วมกันแล้ว สามารถที่จะดำเนินการในพื้นที่เองได้ โดยผ่านสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ให้ความเห็นชอบตามบริบทของพื้นที่ได้ทันที โดยไม่ต้องนำเรื่องเข้ามาที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จให้รายงานต่อ สพฐ.ทราบ”

สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง

                   1. ยกเลิกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดตั้ง รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2550

2. กำหนดหลักเกณฑ์การจัดตั้ง ยุบ รวม หรือเลิกสถานศึกษา ดังนี้

2.1 การจัดตั้งสถานศึกษามีหลักเกณฑ์ ดังนี้

(1) ระดับประถมศึกษาต้องมีนักเรียนในแต่ละชั้นเรียนไม่น้อยกว่า 25 คน  ถ้าไม่เป็นไปตามเกณฑ์ให้จัดตั้งเป็นสาขาของสถานศึกษาอื่น

(2) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและหรือระดับมัธยมศึกษาตอนปลายมีนักเรียนในแต่ละชั้นเรียนไม่น้อยกว่า 80 คน ถ้าไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ให้จัดตั้งเป็นสาขาของสถานศึกษาอื่น

(3) สถานที่จัดตั้งเป็นที่ดินที่มีหลักฐานอนุญาตให้ใช้ไม่น้อยกว่า 25 ไร่

(4) กรณีจัดตั้งขึ้นใหม่ต้องอยู่ห่างจากสถานศึกษาประเภทเดียวกันของรัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ตั้งอยู่เดิมไม่น้อยกว่า 6 กิโลเมตร

(5) กรณีในท้องที่ชุมชนหนาแน่นหรือมีความจำเป็นพิเศษ หากไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหรือสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเสนอคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดให้ความเห็นชอบการจัดตั้งสถานศึกษา ในท้องที่ดังกล่าว ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงงบประมาณ ประสิทธิภาพ และคุณภาพของการจัดการศึกษา

(6) จัดทำแผนการคาดคะเนประชากรวัยเรียนไม่น้อยกว่า 3 ปีการศึกษาถัดไป จัดทำที่ตั้ง แผนผัง และชื่อสถานศึกษา หลักฐานการอนุญาตให้ใช้ที่ดิน หลักสูตรการเรียนการสอน การดำเนินการเกี่ยวกับบุคลากร และงบประมาณ

(7) ให้เสนอแผนการจัดตั้งฯ ต่อเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ความเห็นเพื่อนำเสนอคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดประกอบการให้ความเห็นชอบ เมื่อเห็นชอบแล้ว ให้สำนักงานฯ ประกาศการจัดตั้งสถานศึกษานั้น ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งมติจากคณะกรรมการฯ และเผยแพรให้ประชาชนทราบโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์รวมถึงปิดประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงาน พร้อมทั้งรายงานสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยเร็วเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา

2.2 การยุบสถานศึกษามีหลักเกณฑ์ ดังนี้

(1) ระดับประถมศึกษาที่มีนักเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 น้อยกว่า 10 คน ติดต่อกันอย่างน้อย 3 ปีการศึกษา

(2) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่มีนักเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 น้อยกว่า 10 คน ติดต่อกันอย่างน้อย 3 ปีการศึกษา หรือมีนักเรียนทั้งระดับน้อยกว่า 30 คน

(3) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้ (3.1) มีนักเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 น้อยกว่า 10 คน ติดต่อกันอย่างน้อย 3 ปีการศึกษา (3.2) มีนักเรียนชั้นใดชั้นหนึ่ง น้อยกว่า 10 คน (3.3) มีนักเรียนทั้งระดับ น้อยกว่า 40 คน (3.4) มีแผนชั้นเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น น้อยกว่า 3 ห้องเรียน

(4) กรณีในท้องที่ที่มีความจำเป็นพิเศษหากมีความจำเป็นอย่างอื่นให้สำนักงานฯ เสนอคณะกรรมการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบการยุบสถานศึกษาในท้องที่ดังกล่าว

(5) จัดทำแผนเกี่ยวกับบุคลากรเด็กนักเรียน จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ปกครองนักเรียนและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งนี้ การยุบสถานศึกษาให้ยุบทีละ 1 ชั้นเรียน เริ่มตั้งแต่ชั้นต้นของระดับ เว้นแต่มีเหตุผลความจำเป็นอาจยุบปีละเกินกว่า 1 ชั้นเรียน หรืออาจยุบทั้งระดับ

(6) ให้เสนอคณะกรรมการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบการยุบสถานศึกษา เมื่อเห็นชอบแล้ว ให้ประกาศภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งมติจากคณะกรรมการฯ และให้เผยแพร่ให้ประชาชนทราบโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงปิดประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงาน พร้อมทั้งรายงานสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานทราบโดยเร็ว

2.3 การรวมสถานศึกษามีหลักเกณฑ์ ดังนี้

(1) มีนักเรียนรวมกันทุกชั้นเรียนไม่เกิน 120 คน ให้จัดทำแผนเกี่ยวกับบุคลากร งบประมาณ ทรัพย์สิน เอกสารสำคัญ และการช่วยเหลือเด็กนักเรียน

(2) จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ปกครองนักเรียนและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน

(3) ให้นักเรียนทุกชั้นเรียนในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ใกล้กันตั้งแต่สองแห่งขึ้นไปมาเรียนรวมกัน เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพและลดภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร

(4) เมื่อคณะกรรมการให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ประกาศภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งมติจากคณะกรรมการ และให้เผยแพร่ให้ประชาชนทราบโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงปิดประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงาน พร้อมทั้งรายงานสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานทราบโดยเร็ว

(5) เมื่อประกาศการรวมสถานศึกษาแล้ว ให้สถานศึกษาหลักรับย้ายนักเรียนที่มาเรียนรวมจากสถานศึกษาอื่นมาเป็นนักเรียนของสถานศึกษาหลัก ให้สถานศึกษาที่มารวมโอนบรรดาสิทธิในงบประมาณหรือเงินอุดหนุน ทรัพย์สิน สิทธิ สิทธิเรียกร้อง หนี้ ไปเป็นของสถานศึกษาหลัก และให้สำนักงานดำเนินการเลิกสถานศึกษาที่มารวมภายใน 360 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งมติจากคณะกรรมการ

2.4 การเลิกสถานศึกษามีหลักเกณฑ์ ดังนี้

(1) การเลิกสถานศึกษากรณีไม่มีนักเรียนที่จะจัดการเรียนการสอนให้จัดทำแผนเสนอคณะกรรมการฯ ให้ความเห็นชอบการดำเนินการเกี่ยวกับบุคลากร งบประมาณ ทรัพย์สิน และเอกสารสำคัญ

(2) การเลิกสถานศึกษากรณีเป็นสถานศึกษาที่ไปรวมสถานศึกษาหลักให้จัดทำแผนการดำเนินการเกี่ยวกับบุคลากร งบประมาณ ทรัพย์สิน เอกสารสำคัญ และการช่วยเหลือเด็กนักเรียน

(3) จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ปกครองนักเรียนและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน

(4) เมื่อสำนักงานดำเนินการตาม (1) และ (2) แล้ว ให้เสนอคณะกรรมการฯ ให้ความเห็นชอบ เมื่อเห็นชอบแล้ว ให้ประกาศภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งมติจากคณะกรรมการ และให้เผยแพร่ให้ประชาชนทราบโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงปิดประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงาน พร้อมทั้งรายงานสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยเร็วเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา

(5) เมื่อประกาศการเลิกสถานศึกษานั้นแล้ว ให้สำนักงานจัดให้มีการตรวจสอบทรัพย์สินและชำระบัญชี รวมถึงการดำเนินการโอนหรือจำหน่ายทรัพย์สินที่ยังคงเหลืออยู่ของสถานศึกษาให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นกำหนด

(6) บรรดาเอกสารสำคัญของสถานศึกษาที่ถูกเลิก ให้โอนไปอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของสำนักงานหรือสถานศึกษาหลัก เช่น การเลิกสถานศึกษากรณีไม่มีนักเรียนที่จะจัดการเรียนการสอนให้เก็บไว้ที่สำนักงาน สำหรับการเลิกสถานศึกษากรณีเป็นสถานศึกษาที่ไปรวมสถานศึกษาหลักให้เก็บไว้ที่สถานศึกษาหลัก

เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ

Back to top button